ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) คือการประมาณปริมาณไขมันในร่างกายเบื้องต้นโดยใช้ส่วนสูงและน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นค่าที่ได้แบบคร่าว ๆ เท่านั้น หากมีค่าดัชนีมวลกายสูงก็อาจคาดการณ์ได้ว่าผู้ที่ตรวจวัดมีระดับไขมันในร่างกายสูงและอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน แต่ถ้าหากมีค่าดัชนีมวลกายต่ำเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูก หรือการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง รวมทั้งโรคโลหิตจาง ได้เช่นกัน
ค่าดัชนีมวลกายนำมาใช้เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณไขมันในร่างกาย ซึ่งถือเป็นการคัดกรองเบื้องต้น โดยหากพบว่าผู้ป่วยมีค่าดัชนีมวลกายสูง แพทย์จะสั่งตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การวัดความหนาของผิวหนัง (Skinfold Thickness Measurements) และอาจมีการซักประวัติเกี่ยวกับอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย ประวัติครอบครัว หรือเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยโรค
การคัดกรองด้วยค่าดัชนีมวลกายโดยปกติจะใช้กับผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีจะใช้ค่าดัชนีมวลกายในการคัดกรองเบื้องต้น หากจะวินิจฉัยโรคหรือความผิดปกติจะต้องใช้ค่าเปอร์เซ็นต์ไทล์สำหรับเด็กร่วมด้วย จึงจะได้ผลที่น่าเชื่อถือ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในคนบางกลุ่ม เช่น นักกีฬา ผู้มีรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หรือผู้สูงอายุ และผู้ที่มีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากในกลุ่มคนเหล่านี้ ค่าดัชนีมวลกายที่ได้จะไม่สามารถบ่งบอกปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือความเสี่ยงสุขภาพอื่น ๆ ได้ และจะต้องใช้ปัจจัยอื่น ๆ ร่วมพิจารณาด้วย
วิธีการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย
การคำนวณค่าดัชนีมวลกายจะใช้วิธีเดียวกัน ทั้งชายและหญิง โดยจะนำเอาส่วนสูง และน้ำหนักตัวมาคำนวณด้วยวิธีต่อไปนี้
ค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วย [ความสูง (เมตร) ยกกำลัง 2]
ตัวอย่างเช่น:
น้ำหนักตัว 68 กิโลกรัม
ความสูง 1.65 เมตร (165 เซนติเมตร)
ค่าดัชนีมวลกาย = 68 / (1.65 x 1.65) = 24.98
และเมื่อได้ค่าดัชนีมวลกายแล้วก็จะนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของค่าดัชนีมวลกายเพื่อคัดกรองว่าผู้ป่วยนั้นอยู่ในคนกลุ่มใด

ค่ามาตรฐานของดัชนีมวลกายเป็นอย่างไร ?
โดยปกติคนเอเชียจะใช้ค่ามาตรฐานดัชนีมวลกายเท่ากัน ซึ่งค่ามาตรฐานของดัชนีมวลกายเหล่านี้จะเป็นเกณฑ์โดยคร่าว ๆ เท่านั้น และอาจแบ่งเป็น 4 ระดับใหญ่ ๆ คือ
- ผอม น้อยกว่า 18.5
- ปกติ 18.5-22.9
- อ้วนเล็กน้อย 23.0-24.9
- อ้วนปานกลาง (อ้วนระดับ 1) 25.0-29.9
- อ้วนมาก (อ้วนระดับ 2) มากกว่า 30.0
หรือในบางแห่งอาจแยกย่อยลงไปอีกตามเกณฑ์ดังนี้
- ผอมมาก (ผอมระดับ 3) น้อยกว่า 16.0
- ผอมปานกลาง (ผอมระดับ 2) 16.0-16.9
- ผอมเล็กน้อย (ผอมระดับ 1) 17.0-18.4
- ผอม น้อยกว่า 18.5
- ปกติ 18.5-22.9
- น้ำหนักเกิน มากกว่าหรือเท่ากับ 23.0
- อ้วนเล็กน้อย 23.0-24.9
- อ้วนปานกลาง (อ้วนระดับ 1) 25.0-29.9
- อ้วนมาก (อ้วนระดับ 2) มากกว่า 30.0
ดัชนีมวลกายสามารถระบุความเสี่ยงสุขภาพได้หรือไม่ ?
แม้จะสามารถช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคอ้วนได้ แต่ค่าดัชนีมวลกายก็ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการประเมินสุขภาพเท่านั้น จึงไม่สามารถระบุความเสี่ยงสุขภาพได้ เนื่องจากคนบางกลุ่มนั้นอาจมีค่าดัชนีมวลกายสูง แต่ไม่ใช่คนที่เป็นโรคอ้วน หรืออาจมีผู้ป่วยบางคนผอมและมีค่าดัชนีมวลกายต่ำ แต่มีระดับของคอเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน จึงต้องใช้ปัจจัยอื่น ๆ เสริมด้วยถึงจะสามารถระบุความเสี่ยงสุขภาพได้ เช่น
- ปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย
- ระดับการเคลื่อนไหวร่างกาย
- ลักษณะร่างกาย
- อายุ
- ชาติพันธุ์
นอกจากนี้แพทย์อาจใช้วิธีตรวจวัดชนิดอื่น ๆ เช่น การวัดความหนาของผิวหนังด้วยคลิปหนีบวัดไขมัน การชั่งน้ำหนักในน้ำ หรือการวัดองค์ประกอบของร่างกายโดยใช้หลักการกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยสนับสนุนข้อมูลที่ได้รับจากผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนมากขึ้น ขณะที่หากต้องการวัดด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
การวัดรอบเอว ด้วยการนำสายวัดตัววัดที่รอบเอว โดยเริ่มวัดตั้งแต่ขอบกระดูกสะโพกด้านบน วัดผ่านบริเวณหน้าท้องจนครบรอบ ทั้งนี้เพื่อให้ห่างไกลจากภาวะน้ำหนักเกิน ควรมีรอบเอวดังนี้
- ผู้ชาย ไม่เกิน 35.5 นิ้ว
- ผู้หญิง ไม่เกิน 31.5 นิ้ว
การวัดอัตราส่วนเอวต่อสะโพก เป็นการวัดโดยนำรอบเอวมาเปรียบเทียบกับความสูง ซึ่งจะให้ผลที่ดีกว่าการวัดรอบเอวเพียงอย่างเดียว โดยค่าที่ได้ซึ่งดีต่อสุขภาพคือ รอบเอวจะต้องน้อยเกินกว่าครึ่งหนึ่งของความสูง
ทั้งนี้เมื่อได้ข้อมูลต่าง ๆ ครบแล้ว แพทย์จะนำมาวินิจฉัยหาข้อสรุปอีกครั้งหนึ่งว่าผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงสุขภาพหรือไม่
ค่าดัชนีมวลกายสูง และเป็นโรคอ้วน เสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง ?
ในกรณีที่มีค่าดัชนีมวลกายสูง และถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย ได้แก่
- เสี่ยงต่อความเสี่ยงการเสียชีวิตทุกชนิด
- โรคความดันโลหิตสูง
- คอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี
- โรคข้อเข่าเสื่อม
- ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ หรือปัญหาในการหายใจ
- การอักเสบเรื้อรัง
- โรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ
- เกิดอาการเจ็บปวดตามร่างกายเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ
นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ufabet24 อันเนื่องมาจากความยากลำบากในการใช้ชีวิต เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และโรคจิตเวชอื่น ๆ นอกจากนี้อาจทำให้ความมั่นใจลดลง ไม่กล้าแสดงออก เก็บตัว และมีปัญหาในการเข้าสังคมได้
ค่าดัชนีมวลกายเป็นการคัดกรองเบื้องต้นที่สามารถใช้เพื่อประเมินรูปร่างและสุขภาพของตัวเองในเบื้องต้นได้ แต่ก็ไม่ควรยึดติดกับค่าดังกล่าวจนเกินไป เพราะอาจทำให้กังวลกับการควบคุมน้ำหนักและส่งผลเสียต่อสุขภาพในภายหลังได้
การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานนั้นจะไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนเป็นตัวการของโรคร้ายต่างๆ มากมาย ดังนั้นจึงควรควบคุมน้ำหนักให้ดีและอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติอยู่เสมอ โดยโรคร้ายที่อาจจะมาพร้อมกับความอ้วน ก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคความดันโลหิตสูง มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคนิ่วในถุงน้ำดีนั่นเอง นอกจากนี้คนอ้วนก็มักจะมีปัญหาเรื่องปอดอีกด้วย เพราะชั้นไขมัน บริเวณรอบทรวงอกที่หนาเกินไป ทำให้ปอดไม่สามารถขยายตัวได้ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งก็เสี่ยงต่อการหยุดหายใจในขณะนอนหลับเป็นระยะๆ มากทีเดียว และอาจเกิดอาการปวดศีรษะ มึนงง หายใจช้าลงและง่วงนอนบ่อย เมื่อตื่นนอนตอนเช้าอีกด้วย
สำหรับการดูว่ารูปร่างของตัวเองอยู่ในระดับที่พอดีแล้วหรือยัง ก็สามารถดูได้จาก ดัชนีมวลกาย ( BMI ) โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
BMI = น้ำหนัก ( กิโลกรัม ) หารด้วยส่วนสูง ( เมตร )2
เมื่อได้ผลลัพธ์จากการคำนวณตามสูตรแล้ว ก็ให้เอามาแปลผล ดังนี้
ถ้า BMI ต่ำกว่า 19 หมายความว่า รูปร่างผอม
ถ้า BMI 20-24.9 หมายความว่า รูปร่างพอดี สมส่วน
ถ้า BMI 25-29.9 หมายความว่า อ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน
ถ้า BMI 30 ขึ้นไป แสดงว่าอ้วนถึงขนาดที่เรียกว่า โรคอ้วน
เมื่อพบว่ามีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือเข้าข่ายที่เรียกว่าอ้วน ควรรีบทำการลดน้ำหนักในทันที โดยให้ลดแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมานั่นเอง
วิธีการลดน้ำหนักที่เหมาะสม
1.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานโดยลดพลังงานจากอาหาร
ความอ้วน เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องลดความอ้วนด้วยการลดพลังงานจากอาหารในแต่ละวันให้น้อยลง โดยสามารถทำได้ด้วยการจำกัดอาหารพลังงานสูง จำกัดอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต ลดปริมาณน้ำตาลให้น้อยลงหรืออาจใช้น้ำตาลเทียมแทนก็ได้ นอกจากนี้ควรเน้นเพิ่มผักผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์ให้มากขึ้นด้วย
2.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายก็จะช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะเป็นการเพิ่มการใช้พลังงานให้มากขึ้นนั่นเอง โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเดินหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 20-30 นาที เป็นประจำทุกวัน
3.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้มีการซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ และยังช่วยลดความรู้สึกหิวได้ดีอีกด้วย โดยทั้งนี้ควรนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เท่านี้การลดน้ำหนักก็จะไม่ยากจนเกินไปแล้ว