พัฒนาการทารก (Development of Infancy) คือ ความเปลี่ยนแปลงหรือการเจริญเติบโตเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของทารก โดยเริ่มตั้งแต่แรกคลอดจนถึงช่วงที่เริ่มเดินได้ ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน ทารกเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการทุกเดือน โดยพัฒนาการของทารกจะเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของแต่ละคน ทารกบางคนอาจพูดคำแรกได้เมื่ออายุ 8 เดือน ในขณะที่ทารกคนอื่นจะเริ่มพูดเมื่ออายุครบ 1 ขวบ ทั้งนี้ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา และพัฒนาการด้านสังคม
พัฒนาการทารกและวิธีดูแลทารกในแต่ละช่วงวัย
ด้านทารกแต่ละคน มีพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญาและภาษา และด้านสังคม แตกต่างกันไป ตามช่วงวัยอย่างไรก็ดี พัฒนาการทารกในช่วงอายุ 1 ปีซึ่งนับตั้งแต่แรกคลอด มักเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้
ช่วงวัย 1-3 เดือน พัฒนาการทารกเริ่มตั้งแต่แรกคลอด นับจากแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน ถือเป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของทารกเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอก ทารกจะเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ดังนี้
- พัฒนาการทางร่างกาย
- เมื่ออายุครบ 1-2 เดือน เด็กจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วน ซึ่งเริ่มจากกล้ามเนื้อคอ เด็กจะเริ่มหันศีรษะจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน หรือชันคอขึ้นเมื่อนอนคว่ำท้องแนบพื้น โดยท่านอนคว่ำที่ใช้ท้องพยุงช่วยนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ปกติตามวัย เมื่ออายุครบ 2-3 เดือน เด็กจะชันคอเองได้นานขึ้น โดยตั้งศีรษะหรือคอค้างไว้สักพักหนึ่ง
- กำและแบมือ
- สัมผัสและจับสิ่งของได้ โดยอาจหยิบฉวยมาถือไว้แน่น

- พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
- การจ้องหน้า และสบตาและสังเกตใบหน้ามารดาขณะที่ให้นม รวมทั้งสังเกตความซับซ้อนของลักษณะสิ่งของ เช่น สี ขนาด รูปร่าง ทั้งนี้ ทารกจะชอบมองมือหรือเท้าตัวเองและเริ่มเล่นนิ้วมือ
- เมื่อทารกอายุครบ 2 เดือน เด็กจะเล่นนิ้วตัวเอง และมองตามสิ่งของที่เคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง และเมื่ออายุครบ 3 เดือน เด็กจะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมารอบตัว
- มีปฏิกิริยาต่อเสียงที่ได้ยิน โดยอาจนิ่งฟังหรือยิ้มตอบ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
- เมื่ออายุครบ 3 เดือน จะสนใจรูปร่างหรือเสียงที่ดึงดูดความสนใจ รวมทั้งหันมองตามเสียงนั้น
- หัดพูดอ้อแอ้
- พัฒนาการด้านสังคม
- เมื่อพ่อแม่คุยหรือเล่นด้วย ทารกอาจยิ้มตอบ หรือพูดอ้อแอ้และเป่าน้ำลายเป็นฟอง
- เลียนแบบสีหน้าของพ่อแม่ รวมทั้งโผเข้าหาพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเมื่อต้องการความปลอดภัย ความรัก และการปลอบโยน
- วิธีดูแลพัฒนาการทารก สัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อแม่กับทารกนับเป็นรากฐานของพัฒนาการที่สมบูรณ์ พ่อแม่ควรดูแลทารกในช่วงวัย 1-3 เดือน ได้ ดังนี้
- ควรอุ้มหรือกอดทารกอย่างเบามือ ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น ทั้งนี้ ควรให้เด็กจ้องมองใบหน้าของผู้เลี้ยง และจับนิ้วมือหรือสัมผัสใบหน้าของผู้เลี้ยงด้วย
- ควรสื่อสารกับทารก โดยถามคำถามเด็กหรือโต้ตอบเมื่อเด็กส่งเสียงอ้อแอ้ รวมทั้งอธิบายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ทารกฟังไปเรื่อย ๆ ด้วยถ้อยคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็ก การพูดให้เด็กฟังจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษา และเรียนรู้ความรู้สึกจากการฟังน้ำเสียง
- อุ้มเด็กโดยหันหน้าทารกออกด้านนอก รวมทั้งลองให้เด็กนอนคว่ำ และส่งเสียงกระตุ้นให้เด็กเงยศีรษะมองตาม อาจให้เด็กนอนคว่ำแค่ 2-3 นาที เนื่องจากการนอนคว่ำทำให้เด็กอึดอัดไม่สบายตัว นอกจากนี้ พ่อแม่ควรให้เด็กหลับในท่านอนหงาย
- ควรดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดเมื่อเด็กร้องไห้ เนื่องจากเด็กอาจต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม หิว หรืออยากให้กอด ทั้งนี้ การดูแลเอาใจใส่ยังช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทารกและแม่
- ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตทารกว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่าง ๆ หรือไม่ และปรึกษาแพทย์ทันทีหากเด็กผิดปกติ โดยความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกช่วงวัย 1-3 เดือน มีดังนี้
- ไม่ปรากฏพัฒนาการด้านการควบคุมหรือเคลื่อนไหวศีรษะ
- ไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือภาพใด ๆ
- ไม่ยิ้มตอบผู้คนหรือเมื่อได้ยินเสียงของพ่อแม่
- ไม่มองตามสิ่งของที่เคลื่อนไหวไปมา
- ไม่สังเกตมือของตัวเอง
- ไม่หยิบฉวยหรือถือสิ่งของใด ๆ
ช่วงวัย 4-6 เดือน ทารกในช่วงวัยนี้จะเริ่มรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กจะเรียนรู้และต้องการจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเอง โดยพัฒนาการทารกช่วงวัย 4-6 เดือน เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้
- พัฒนาการทางร่างกาย
- ขยับแขนขาแรงขึ้น
- ยกศีรษะขึ้นเองได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
- ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
- เมื่ออายุครบ 4 เดือน เด็กจะเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงาย โดยกลิ้งตัวจากหน้ามาหลัง และกลิ้งกลับจากหลังไปหน้าได้ โดยมักกลิ้งจากหน้าไปหลังได้ก่อน
- เอื้อมมือจับของและนำมาถือไว้ในท่านอนหงายได้ รวมทั้งเริ่มหยิบของเข้าปากตัวเอง
- เรียนรู้การส่งของจากมือข้างหนึ่งไปยังอีกมือข้างหนึ่ง รวมทั้งใช้มือคุ้ยของชิ้นเล็ก ๆ
- อายุครบ 6 เดือน จะมีพัฒนาการ นั่งได้เองโดยไม่ล้ม โดยจะใช้มือช่วยพยุงตัวเองชั่วครู่ในช่วงแรก และต่อมาจะนั่งได้เองนานถึง 30 วินาที และมากขึ้นเรื่อย ๆ
- พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
- แยกความแตกต่างของใบหน้าคนแปลกหน้าและคนที่รู้จักได้
- เริ่มให้ความสนใจกับของเล่น สังเกตนิ้วมือและเท้าของตัวเอง รวมทั้งมองเงาสะท้อนของตัวเอง
- หัวเราะออกมาเสียงดัง และยังพูดอ้อแอ้
- เลียนแบบการแสดงสีหน้าและเสียงของพ่อแม่ ทั้งนี้ ทารกอาจพูดอ้อแอ้และหยุดเว้นช่วง เพื่อรอให้คนที่ตัวเองสื่อสารด้วยโต้ตอบกลับมา
- วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกช่วงนี้อยู่ในวัยเรียนรู้และสนุกสนานกับการเล่นไปพร้อมกัน โดยพ่อแม่ต้องช่วยดูแลเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ดังนี้
-
ควรพูดคุยกับเด็กเรื่อย ๆ รวมทั้งโต้ตอบเมื่อเด็กส่งเสียงอ้อแอ้ โดยใช้คำง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพราะการสื่อสารมีส่วนช่วยในการสร้างพัฒนาการทางภาษา
-
ให้เด็กนอนคว่ำ และนำของเล่นหรือส่งเสียงเพื่อกระตุ้นให้เด็กหันศีรษะมองตามและฝึกกลิ้งตัว ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงควรจับมือเด็กและพูดกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นยืน โดยนับ 1-3 สามและดึงเด็กให้ลุกขึ้นยืนเบาๆ หากจะฝึกให้นั่ง ควรหาหมอนมาช่วยหนุนตัวเด็กไม่ให้ล้ม
-
เลือกของเล่นที่มีสีสันสดใสหรือมีเสียง เช่น ของเล่นไขลานที่มีเสียงดนตรี ของเล่นเด็กที่เขย่าแล้วมีเสียง หรือตุ๊กตาตัวนุ่มๆ รวมทั้งเลี่ยงของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ทั้งนี้ ควรนำของเล่นออกมาให้เด็กเล่นครั้งละ 1-2 ชิ้น เพื่อฝึกให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ
-
ลองเลื่อนของเล่นออกห่างจากตัวเด็ก เพื่อกระตุ้นให้เด็กเอื้อมหรือคลานไปหยิบมา
-
อ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยเลือกหนังสือเล่มใหญ่ที่มีภาพสีสันสดใส และบรรยายให้เด็กฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการพูดและคิด
-
เล่นจ๊ะเอ๋กับเด็ก หรือเล่นซ่อนหา โดยนำของเล่นไปซ่อนและกระตุ้นให้เด็กหาให้เจอ
-
ควรกอดและกล่อมเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
-
เปิดเพลงหรือดนตรีให้ฟัง เพื่อให้เด็กผ่อนคลาย
-
ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด โดยสังเกตว่าเด็กต้องการ ชอบหรือไม่ชอบอะไร
-
- พัฒนาการด้านสังคม
- รู้สึกสนุกเมื่อได้เล่น และจะร้องไห้เมื่อหยุดเล่น
- เลียนแบบการเล่นทำเสียงได้
- มักโผเข้าหาแม่หรือพ่อ และจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อไม่เห็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ
- จดจำใบหน้าพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดได้ รวมทั้งรู้จักชื่อของตัวเอง
- ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่ควรพบแพทย์ทันทีหากทารกเกิดความผิดปกติด้านพัฒนาการ ความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในช่วงวัยนี้ ได้แก่
- กล้ามเนื้อแข็งตึง
- ตัวอ่อนปวกเปียกอย่างเห็นได้ชัด
- เอื้อมมือไปแตะสิ่งของได้แค่ข้างเดียว
- ไม่ปรากฏสัญญาณของการเคลื่อนไหวหรือควบคุมศีรษะ
- ไม่ตอบสนองต่อแสงหรือภาพต่าง ๆ
- ไม่จับสิ่งของ หรือหยิบสิ่งของใส่ปากตัวเอง
- ไม่พยายามกลิ้งตัวหรือนั่ง
- ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างเขเข้าหรือเขออก
- ไม่หัวเราะหรือร้องออกมา
ช่วงวัย 7-9 เดือน ทารกในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวและกลิ้งตัวได้มากขึ้น ทารกจะคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการ ดังนี้
- พัฒนาการทางร่างกาย
- เคลื่อนไหวไปมามากขึ้น โดยเริ่มจากหัดคลาน และไถก้นไปกับพื้น ทั้งนี้ เด็กอาจหัดคลานโดยใช้แขนและขาช่วยนอกเหนือไปจากการคลานด้วยมือหรือเข่า อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจไม่คลานเลย แต่จะหัดเคลื่อนไหวจากการไถก้นไปกับพื้นไปจนถึงเริ่มเดินได้
- นั่งได้เองโดยไม่ล้ม
- หมุนกลิ้งได้ทั้งจากหน้าไปหลัง หรือจากหลังมาหน้า รวมทั้งกลิ้งตัวขณะที่หลับอยู่
- ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนได้
- มักปีนป่ายเก้าอี้หรือโต๊ะ
- เรียนรู้การใช้นิ้วมือ รู้จักหยิบของด้วยนิ้วสองนิ้ว รวมทั้งเริ่มปรบมือเป็น
- ปีนป่ายและคลานได้
- พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
- มีปฏิกิริยาต่อถ้อยคำที่คุ้นเคย โดยเด็กอาจหยุดหรือจ้องหน้าแม่ หากได้ยินคำว่า “ไม่” รวมทั้งหันมองเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง
- แยกอารมณ์ความรู้สึกได้จากการฟังน้ำเสียง
- เริ่มเปล่งเสียงพูดคำว่า ufabet24 “พ่อ” หรือ “แม่” ได้
- รู้จักเรียนรู้การใช้สิ่งของต่าง ๆ
- พัฒนาการด้านสังคม
- เล่นเกมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น เล่นจ๊ะเอ๋
- กังวลเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้า เด็กจะไม่อยากอยู่กับคนอื่นนอกจากแม่ หรือจะหาทางหนีไปที่อื่นหากรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ
- มีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ความรู้สึกที่พ่อแม่แสดงออกมา
- วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกในช่วงวัยนี้ยังคงเรียนรู้และเล่นกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปพร้อมกัน พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรดูแลทารกเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
-
ควรพูดคุยกับเด็กเรื่อย ๆ โดยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง และรอให้เด็กส่งเสียงโต้ตอบกลับมา หรือพูดบางอย่างและให้เด็กพูดตาม
-
หาเวลาเล่นกับเด็ก โดยอาจเล่นอย่างอื่นนอกเหนือจากการเล่นที่เคยเล่นมา เช่น เรียงตัวต่อซ้อนขึ้นเป็นชั้นแล้วให้เด็กพังตัวต่อนั้น รวมทั้งให้เด็กเล่นของเล่นที่เสริมสร้างจินตนาการ เช่น ระบายสีหรือละเลงอาหารบนถาดที่เตรียมไว้
-
อ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยเปลี่ยนน้ำเสียงและแสดงสีหน้าออกมาให้แตกต่างกัน เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของเด็ก รวมทั้งเก็บหนังสือไว้ในที่ที่เด็กหยิบได้ เพื่อให้เด็กหยิบหนังสือมาดูภาพเพื่อผ่อนคลายความเครียด
-
เปิดเพลงหรือดนตรีเบา ๆ ให้เด็กฟัง เพื่อให้เด็กผ่อนคลายและรู้สึกเพลิดเพลิน
-
หาสิ่งของที่นุ่ม ปลอดภัย เพื่อให้เด็กรู้สึกอุ่นใจที่มีของสิ่งนั้นอยู่ด้วยในกรณีที่ต้องห่างจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยง หรือยามที่เด็กรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
-