เคล็ดไม่ลับฉบับเอเจนซี่ ทำ SEO อย่างไรให้ปัง! ติดหน้าแรก ทุกการค้นหา
ถ้าคุณคือหนึ่งคนที่กำลังสงสัยอยู่ว่า “ทำไมการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google จึงเป็นเรื่องสำคัญ” บทความนี้นอกจากจะมาไขความกระจ่างถึงความสำคัญของการทำ SEO แล้ว ยังจะบอกวิธีที่คุณสามารถทำ SEO ด้วยตัวเองเพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google ได้อีกด้วย หรือถ้าจะไปจ้างเอเจนซี่ให้ทำ SEO ก็จะได้เข้าใจและพูดคุยกับเขารู้เรื่องหากพร้อมแล้วเราไปเริ่มกันตั้งแต่ความหมายของมันกันเลยดีกว่าว่า SEO คืออะไร?
จริงๆ แล้วเราได้เคยมีการเขียนบทความถึงความหมายอย่างละเอียดว่า SEO คืออะไร เอาไว้แล้ว ดังนั้นมาขยายความถึงพื้นฐานของสิ่งที่ทำให้เราต้องทำ SEO กันดีกว่าและที่กำลังจะพูดถึงต่อจากนี้ก็คือ Search Engine
SEARCH ENGINE หมายถึง
หากแปลตรงตัวคำนี้ก็จะแปลได้ว่า “เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการค้นหา” ลองจินตนาการดูว่าหากในปัจจุบันไม่มี Search Engine เอาไว้ให้คุณใช้งานในขณะที่บนโลกออนไลน์มีเว็บไซต์นับล้านคุณจะค้นหาสิ่งที่ต้องการเจอได้อย่างไร แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ Search Engine จึงเป็นเครื่องมือที่รวบรวมเอาข้อมูลทั้งเว็บไซต์ รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งหมด มาแสดงผลตามคำค้นหา (Keyword) ที่ผู้ใช้ใส่เข้าไป
SEARCH ENGINE มีอะไรบ้าง
แน่นอนว่าชื่อแรกที่คุณจะต้องนึกถึงก็คือ Google แต่นอกจากนี้แล้วยังมี Search Engine อื่นๆ อีกเช่น Yahoo, Bing, Ask ฯลฯ หรือจะเป็นของจีนอย่าง Baidu Search เป็นต้น
อยากเริ่มแล้ว มีข้อควรรู้อะไรก่อนเริ่มทำ SEO บ้าง
อันที่จริงการจะทำ SEO นั้นคุณจะต้องอาศัยองค์ความรู้ในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นเขียนโปรแกรมเป็นแต่จะต้องรู้และเข้าใจองค์ประกอบภาษา HTML ว่ามีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรบ้างเสียก่อน โดยองค์ประกอบพื้นฐานบนหน้าเว็บไซต์ทั่วไปจะมีส่วนสำคัญใหญ่ๆ อยู่ 3 ส่วน นั่นก็คือ Header, Body และ Footer
Header คือ
บริเวณด้านบนสุดของหน้าเว็บเพจซึ่งจะเป็นส่วนที่ใช้สำหรับแสดงชื่อเว็บไซต์ โลโก้ ไปจนถึงแถบเมนู (Navigation Bar) ที่เราจะสามารถลิงก์ข้ามไปยังหน้าอื่นๆ บนเว็บไซต์เราได้ อีกทั้งในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เราสามารถกำหนด Title ของเว็บไซต์เรารวมทั้งสไตล์ต่างๆ ภายในเว็บไซต์ทั้งหมดได้อีกด้วย
Body คือ
ส่วนกลางของเว็บไซต์ซึ่งจะเป็นพื้นที่สำหรับใส่ข้อมูลเนื้อหา (Content) ต่างๆ ที่เราต้องการ ประกอบไปด้วยตัวหนังสือ บทความ ตารางข้อมูล รูปภาพ วิดีโอและอื่นๆ
Footer คือ
ส่วนล่างสุดของเว็บไซต์มีไว้สำหรับใส่ลิงก์เพื่อเข้าสู่หน้าอื่นๆ รวมถึงข้อมูลเฉพาะต่างๆ ที่อาจจะไม่ได้สำคัญมาก ข้อมูลเพิ่มเติมจากหน้าเว็บไซต์รวมถึงที่อยู่สำหรับติดต่อ คำแนะนำ ลิขสิทธิ์ ฯลฯ ก็สามารถนำมาใส่ในส่วนนี้ได้
*ส่วนของ Footer จะมีหรือไม่มีบนเว็บไซต์ก็ได้
แท็กต่างๆ ที่คนทำ SEO ต้องรู้
<head>…</head> = สำหรับกดหนดชื่อเรื่อง ซึ่งจะมีคำสั่งย่อยเป็น Title อีกหนึ่งขั้น
<title>…</title> = แท็กคำสั่งสำหรับกำหนดชื่อเรื่องให้กับเว็บไซต์ โดยจะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายในแท็ก <head> เท่านั้น เป็นตัวบ่งบอกว่าเว็บไซต์ของคุณคือเว็บไซต์อะไร
<body>…</body> = แท็กที่ใช้กำหนดส่วนของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์
<h1>…</h1> = แท็กกำหนดหัวข้อเนื้อหา โดยสามารถไล่เป็นลำดับขั้นได้เล็กสุดไปจนถึง <h6>
<p>…</p> = แท็กกำหนดส่วนของเนื้อหาและบทความ (Paragraph)
***ไม่จำเป็นเสมอไปว่าขนาดตัวหนังสือของแท็ก <h1> จะต้องเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณได้วาง Site Map เว็บไซต์เอาไว้อย่างไร เพราะคุณสามารถกำหนดขนาดตัวหนังสือของ <h1> – <h6> ในแต่ละอันให้มีรูปแบบ ขนาดต่างกันได้ (ที่จริงแล้วจะตั้งให้เหมือนและเท่ากันก็ได้ แต่ไม่มีใครทำเพราะจะทำให้สับสนตอนดูแล-ปรับปรุงเว็บไซต์)
HTML ภาษาเว็บไซต์ที่คนทำ SEO ต้องเข้าใจ
ในภาษา HTML ซึ่งเป็นภาษาสากลสำหรับการเขียนเว็บไซต์นั้นการแสดงผลเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์จะถูกไล่ตามลำดับความสำคัญจากแท็กซึ่งได้แก่ <h1> ไปจนถึง <h6> แล้วค่อยต่อด้วย <p> หรือให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือสิ่งที่คุณเห็นด้วยตาจะเป็นการเรียงลำดับขนาดตัวหนังสือ เล็ก ใหญ่ ตามความสวยงาม แต่ในระบบจะไล่ลำดับความสำคัญตามแท็กอย่างที่เราได้กล่าวไป ดังนั้นคุณจะต้องวางแผนแท็กต่างๆ อย่างเป็นระบบเสียก่อน แล้วค่อยไปกำหนดรูปแบบตัวหนังสือของแต่ละแท็กในภายหลัง
h1 คืออะไร
h1 คือแท็กบนเว็บไซต์ที่มีหน้าที่ในการแสดงชื่อเรื่อง หัวเรื่องหรือหัวข้อหลักของคอนเทนต์ที่คุณใส่ลงไป เปรียบง่ายๆ เหมือนเวลาที่คุณเขียนจดหมาย h1 ก็คือชื่อเรื่อง รองลงมาก็จะเป็น h2 h3 ตามลำดับ ซึ่งถ้าเว็บไซต์ไหนไม่มีการใส่แท็ก <h1> เอาไว้ ก็เหมือนว่าเว็บไซต์นั้นมีแต่เนื้อหาที่ไม่มีชื่อเรื่อง ซึ่งนั่นก็จะส่งให้ Google ไม่สามารถรู้ได้ว่าคอนเทนต์ที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้นๆ เกี่ยวข้องกับอะไรและแน่นอนว่าจะกระทบกับการทำ SEO ในระยะยาว
h1 ต่างจากแท็ก Title ซึ่งจะอยู่ในส่วน Header ตรงที่ Title จะไม่ปรากฎให้เห็นในส่วนของเนื้อหาบนเว็บไซต์แต่จะแสดงผลบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google และเป็นการบอก Google ว่าเว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์อะไร ส่วนแท็ก h2 – h6 ก็จะเป็นการไล่ลำดับตามความสำคัญของหัวข้อดังที่เราบอกไป
ดังนั้นหากคุณมีเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีหัวข้อย่อยลงไปหลายขั้นห้ามใช้แท็ก <p> หรือ Paragraph แล้วปรับขนาดตัวอักษรตามต้องการ แต่ให้ใช้แท็ก <h1> – <h6> ในการกำหนดหัวข้อแทน ส่วนแท็ก <p> เอาไว้ใช้กับเนื้อหาคอนเทนต์ภายในเพียงอย่างเดียว
*หลายท่านที่เข้ามาทำงานด้านนี้ใหม่ๆ มักจะเข้าใจผิดและใช้แท็กผิดประเภทของงานตามไปด้วย
ทำไมต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้
เพราะการทำ SEO นั้นไม่ใช่แค่การเขียนคอนเทนต์ ใส่คีย์เวิร์ด อัปโหลดขึ้นเว็บไซต์แล้วเว็บไซต์ของคุณจะขึ้นมาติดหน้าแรก Google ได้เอง แต่การทำ SEO ยังจะต้องมีกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์อีกหลายขั้นตอน โดยอาศัยการพัฒนาปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในเว็บไซต์ (On-Page) ที่จะต้องมีการจัดระเบียบตั้งแต่การวาง Site Map การเขียนคอนเทนต์ที่มีการใส่คีย์เวิร์ดซึ่งผ่านกระบวนการการตรวจสอบมาแล้วว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรก Google ได้ ไปจนถึงการจัดการกับลิงก์ต่างๆ บนหน้าเว็บให้สอดคล้องกัน
อีกทั้งยังมีปัจจัยภายนอก (Off-Page) ที่จะต้องมีลิงก์กลับเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา (Backlink) ซึ่งก็มีหลากหลายวิธีในการได้มาเช่น มีคนอ้างอิงเนื้อหาโดยการใส่ลิงก์ของเราในบทความตามเว็บไซต์ต่างๆ วิธีนี้เราจะไม่สามารถทำเองได้เพราะขึ้นอยู่กับคนอื่นว่าเขาจะเขียนถึงเราหรือไม่ กับอีกวิธีก็คือการทำ Outreach หรือวิธีการที่เราทำคอนเทนต์ ใส่คีย์เวิร์ด ใส่ Anchor Link (ลิงก์ที่ใส่ไว้ในคำคีย์เวิร์ดเพื่อให้ผู้อ่านคอนเทนต์ สามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิง) แล้วทำการส่งคอนเทนต์เหล่านั้นไปยังเว็บไซต์ต่างๆ (ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพ เว็บไซต์ที่ส่งไปก็จะต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน)
สิ่งที่ควรปรับปรุง พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำ SEO
On-Page
ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่กำลังจะสร้างขึ้นใหม่ เราแนะนำให้คุณวาง Site Map ไว้ให้ดีตั้งแต่แรกเช่น หน้าต่างๆ การลิงก์เชื่อมกันระหว่างหน้าเว็บไซต์ ไปจนถึงคีย์เวิร์ดที่จะใส่ในคอนเทนต์ ความยาวคอนเทนต์ การใช้แท็กและรายละเอียดต่างๆ แต่ถ้าหากคุณมีเว็บไซต์เดิมอยู่แล้วสิ่งที่ต้องเข้าไปจัดการคือเรื่องของแท็กต่างๆ ตามที่เราได้เขียนไปข้างต้น เช่น เข้าไปดูว่า Title ของคุณใส่อะไรไว้ มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า <h1> ในแต่ละหน้ามีครบอยู่ไหมและยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปพูดในหัวข้อถัดๆ ไป
Off-Page
อย่างที่เราบอกว่าเป็นการทำคอนเทนต์เพื่อส่งออกจนได้ลิงก์กลับมา แต่ข้อควรระวังในเรื่องนี้คือ “คุณควรทำอย่างเป็นธรรมชาติ” ไม่ว่าจะเป็นการใส่คีย์เวิร์ดที่ไม่ควรมีมากจนเกินไป ที่สำคัญคือต้องเน้นประโยชน์กับผู้อ่านให้ได้มากที่สุด คอนเทนต์จำพวก Ever Green หรือคอนเทนต์ที่ผ่านไป 5 ปี กลับมาอ่านก็ยังมีประโยชน์อยู่ ไม่ใช่คอนเทนต์ที่เป็นกระแสหรือข่าวใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งที่เราแนะนำให้คุณทำมากที่สุด
หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ดมากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้ถูกมองว่าเป็นสแปมได้ไปจนถึงระวังการสปินบทความหรือการสร้างบทความจำนวนมากๆ เพื่อนำไปโพสต์ต่อ เป็นวิธีการที่นำบทความหนึ่งมา ตัด แปะ หัวท้ายสลับกันไปมาเพื่อให้มีความหลากหลายขึ้น (ไม่ได้เขียนใหม่ทั้งหมดเหมือนบทความปกติ) ซึ่งก็จะมีทั้งแบบที่คนยังอ่านรู้เรื่องกับอีกแบบที่ทำเฉพาะสำหรับให้ Bot อ่านรู้เรื่องเท่านั้น
วิธีการแบบนี้ในช่วงแรกคุณอาจจะเห็นว่า Rank หรือลำดับหน้าเว็บไซต์ของคุณพุ่งขึ้นได้ดี แต่ในระยะยาวหาก Google ตรวจสอบได้ คุณอาจจะเจอบทลงโทษที่ได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นเน้นย้ำอีกครั้งว่าการทำ SEO ที่ดีคือการทำอย่างเป็นธรรมชาติ สม่ำเสมอและใช้เวลา
ทำ SEO ยากไหม?
สิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดและคิดกันไปเองก็คือ การทำ SEO นั้นเป็นเรื่องเฉพาะทางต้องอาศัยเครื่องมือราคาแพง ต้องมีความรู้เฉพาะด้าน ซึ่งความเข้าใจนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียวนั่นก็คือการทำ SEO จะต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ ที่เราได้เขียนไปตั้งแต่ตอนต้นของบทความซึ่งเรื่องเหล่านี้คุณสามารถศึกษาด้วยตัวเองและเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ปัจจัยสำคัญว่าทำ SEO ยากหรือไม่นั้นแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่คุณทำธุรกิจอยู่ว่ามีการแข่งขันกันสูงหรือไม่ ยิ่งมีการแข่งขันทางธุรกิจสูงแน่นอนว่าก็จะมีการแย่งชิงตำแหน่งหน้าแรกของ Google สูงขึ้นตามไปด้วยเพราะทุกๆ ธุรกิจในปัจจุบันล้วนอยู่บนโลกออนไลน์เหมือนกัน
ดังนั้นก่อนจะเริ่มทำ SEO ด้วยตัวเองคุณควรจะศึกษาคู่แข่งว่าเขาทำอย่างไรเว็บไซต์ถึงอยู่ในหน้าแรก Google ได้ แล้วเราก็นำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา ทั้งเนื้อหาคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ ต้องเน้นตอบโจทย์อ่านง่าย เว็บไซต์ใช้งานง่าย ดึงให้คนอยู่บนเว็บไซต์ของเราให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ได้บอกให้คุณลอกสิ่งที่คู่แข่งของคุณทำอยู่ แต่ให้ศึกษาและนำมาพลิกแพลงปรับใช้
อยากทำ SEO ด้วยตัวเอง เริ่มอย่างไรบ้าง
เราเชื่อว่าเดี๋ยวนี้มีนักธุรกิจรุ่นใหม่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันและหลายๆ คนก็ยังไม่ได้มีงบประมาณสำหรับการจ้างเอเจนซี่เพื่อเข้ามาดูแลงานด้านเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองและแน่นอนว่าการทำ SEO เราก็สามารถทำด้วยตัวเองได้โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้